ผมหายไปนานประมาณ1เดือน ต้องขอโทษด้วยนะครับ
วันนี้กลับมาผมก็หมดมุขสำหรับพื้นฐานต่างๆของหุ้นซะละ
เนื่องจากช่วง1เดือนที่ผ่านมาไม่ได้ทำการบ้านเท่าไหร่เลย
วันนี้เลยจะมาขออธิบายความหมายของตัวย่อ PE PBV EPS
ที่เรามักจะเห็นกันในบทวิเคราะห์ หรือข่าวต่างๆกัน ว่ามีความหมายยังไงนะครับ
เรามาเริ่มทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ
สำหรับบริษัทต่างๆนั้น สิ่งสำคัญมากๆสิ่งหนึ่งนั่นคือกำไรสุทธิ ซึ่งใช้คำภาษาอังกฤษว่า Earning (E)
มีวิธีดูง่ายๆโดยเข้าไปที่้เว็บ set.or.th หรือ settrade.com แล้วพิมพ์ชื่อหุ้นที่เราต้องการจะดูลงไป
หรือจะติดตามจากข่าวหรือเว็บของบริษัทนั้นๆโดยตรงก็ได้ครับ
เรามาเข้าเรื่องกันเลย
PE และ PBV นั้นเป็น ratio หรืออัตราส่วนในการเปรียบเทียบ อธิบายได้ดังนี้ครับ
PE
PE คือ P/E หรือคือ Price / Earning ซึ่งแปลได้ว่า ราคาหุ้นขณะนั้นๆ(P) หารกับกำไรใน1ปี(E)
( ซึ่งก็แล้วแต่นะครับ เราอาจคิดว่า1ปีนี้คือรอบ4ไตรมาสที่ผ่านมา หรือคาดเดาล่วงหน้าไป4ไตรมาสก็ได้
สำหรับคนที่งงๆ เอาเป็นว่า set.or.th กับ settrade.com เค้านำกำไรช่วง1ปีที่ผ่านมาใช้คำนวณนะครับ )
PE ภาษาไทยจะเรียกว่า ราคาปิดต่อกำไรสุทธิ ปกติก็จะเรียกทับศัพท์กันไปเลยน่ะครับว่าคือ PE
ความหมายก็คือ ค่า PE จะบอกเราว่า เราต้องถือหุ้นนี้กี่ปีจึงจะคืนทุน (กรณีค่า E คงที่ไปเรื่อยๆ)
นั่นแปลว่ายิ่งต่ำก็ยิ่งดี เช่น หุ้นราคา 15บาท มีกำไรต่อปี 3บาทต่อหุ้น
เมื่อเราจับมาหารกันก็จะได้ 15/3 ซึ่งคือ P/E = 5 นั่นเอง
คิดง่ายๆว่า เราซื้อของมา 15บาท แต่ละปีของนี้จะให้เงินกับเราปีละ 3บาท ก็ต้องใช้เวลา 5ปี เราจึงจะคืนทุนครับ
เล่าซะยาวเลย สรุปง่ายๆโดยปกติแล้ว หากหุ้นนั้นๆอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ปัจจัยเหมือนๆกัน หุ้นที่มีค่า PE ต่ำกว่า แปลว่าจะถูกกว่านั่นเองครับ
ค่า E ในที่นี้ที่เราพูดถึงจริงๆแล้วมันก็คือเจ้า EPS หรือ Earning per share ครับ
หรือแปลว่า กำไรต่อหุ้นนั่นเอง
อธิบายหน่อยว่า Earning นั้น ปกติจะใช้แทนกำไรสุทธิของทั้งบริษัท
เช่น บริษัท TATAE ปีนี้กำไรสุทธิ 10ล้าน ก็คือ Earning = 10ล้าน
แต่บริษัท TATAE มีการจัดสรรหุ้นออกมาทั้งหมด 5ล้านหุ้น
ถ้าเราอยากรู้ว่า เอ๊ะ แต่ละหุ้นมีกำไรเท่าไหร่ เราก็เอา 10ล้าน/5ล้าน
แปลว่า EPS ของหุ้น TATAE มีค่า 2บาทครับ
EPS ค่านี้ก็เป็นตัวบอกกำไรตรงๆเลยครับ ยิ่งมากยิ่งดี
PBV
PBVคือ P/BV หรือคือ Price / Book value
Book value มันคือส่วนของผู้ถือหุ้นนั่นเอง
จาก สมการทางบัญชีที่ว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของ ผถห.
จะได้ ส่วนของ ผถห. = สินทรัพย์ - หนี้สิน ก็คือสินทรัพย์ทั้งหลายลบหนี้สินออกไป (BV)
หรือจะเรียกว่า มูลค่าตามบัญชีก็ได้ครับ
[ BV นั้นก็กรณีเดียวกับ E คือจะใช้หน่วยเป็นต่อ 1หุ้นเหมือนกันนะครับ = Equity/Number of Shares ]
ปกติแล้วค่า P/BV นั้น ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะนั่นแปลว่า เราซื้อหุ้นได้ถูกกว่ามูลค่าของมัน
ตัวเลขที่ใช้เป็นฐานนั้น ปกติจะใช้ 1เท่า ดังนั้นถ้าเราซื้อหุ้นที่มีค่า PBV ต่ำกว่า1ได้ ก็แสดงว่าเราซื้อหุ้นได้ถูกกว่ามูลค่าของมันครับ (ซึ่งก็หาไม่ง่ายนะ)
แถมทริคกันหน่อยว่า อย่าพึ่งดีใจเกินไปหากพบ หุ้น PE ต่ำ PBV ต่ำ
เป็นไปได้ว่า EPS นั้น พึ่งจะมาดีเอาในปีนี้ อาจมาจากกำไรพิเศษ เช่นการขายที่ดิน
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักเลย แบบนี้แปลว่า ปีอื่นๆก็จะไม่ได้กำไรสูงแบบนี้นะครับ
ส่วน BV นั้น อาจถูกกฎทางบัญชี ลงเอาไว้ว่า ให้ลงฒุลค่าไว้ตามราคาทุน
เช่น ที่ดินซื้อมา 10ล้านบาท มูลค่าทางบัญชีก็คือ 10ล้าน แต่เอาเข้าจริง
ผ่านไป3ปี ที่ดินผืนนั้นน้ำท่วมทุกปี ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ราคาซื้อขายจริงๆ
อาจเหลือแค่ 7ล้าน แต่ BV เราจะยังไม่ลดไปเป็น 7ล้านนะครับ ตอนเราดูมันอาจจะยังค้างอยู่ที่ 10ล้าน
ตรงนี้ก็ต้องไปนั่งพิจารณากันดีๆครับ
จริงๆแล้วยังมีปัจจัยอีกหลายๆอย่าง เพื่อนๆอย่าพึ่งดูแค่ PE PBV อย่างเดียว
เพราะเราอาจโดน ratio พวกนี้หลอกเอาได้ ต้องดูปัจจัยอื่นๆประกอบไปด้วยครับ
เช่น กำไรมาจากการขายของธุรกิจหลักหรือไม่ ผบห.มีคุณธรรมมั้ย
ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่
สินทรัพย์ในบริษัทนั้นมีค่าจริงๆรึเปล่า ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมั้ย จากอะไร
บริษัทกำลังเสียส่วนแบ่งทางการตลาดหรือไม่
และอื่นๆครับ
หวังว่าจะพอเป็นแนวทางสำหรับเพื่อนๆมือใหม่ได้นะครับ
start BLOG !!
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
บัญทึกช่วยจำ MBA nida
ถ้าอยากเรียน...
Flex-MBA : เรียนวันหยุด work exp.1ปี+
เลือก1-2สาย จาก Marketing , Finance* , Operations and Supply Chain Management
Total course fee (approximately) 290,300 Baht
*Young Executive MBA :
วันธรรมดา เย็น 18.30-21.30 3วัน/สัปดาห์ work exp.3y.+
เลือกหลักสูตรไม่ได้ มีบังคับมาแล้ว แต่ไม่รู้ลงเพิ่มได้มั้ย
อย่างน้อยๆอยากเรียน Financial Risk Management ด้วย
คิดว่าที่ให้ใช้เกรด ป.ตรี 3.0 ขึ้นไป คือไม่ต้องสอบข้อเขียน แต่ถ้าสอบ เกรดก็น่าจะไม่ต้องถึง
ต้องใช้เงินประมาณ 400,000 บาท
ความเห็นส่วนตัว
- ข้อดีที่เห็นง่ายที่สุดคือ ymba คือ น่าจะได้ connection ที่ดีกว่า
- อยากเรียนวันธรรมดา เพราะ วันหยุดควรพักบ้าง
- ต้องโทรถามว่า exp ณ ตอนนี้ 2y+ สามารถอนุโลมให้เรียน ymba ได้รึเปล่า
- ถ้าต้องใช้เกรด ป.ตรี 3.0+ จริงๆ ก็ไม่สามารถเรียน ymba ได้
- ถ้าสอบผ่าน f-mba และมีเงิน ก็เรียนได้เลย ไม่ติดเรื่อง exp.
- ทั้ง2หลักสูตรใช้เงินเยอะมากๆ T___T ถ้าเก็บได้ปีละแสน ก็4ปี ถึงได้เรียน ymba และอีก 2ปีกว่าจะจบ รวมเป็น 6ปี ตอนนี้นั้นอายุก็เกิน 30 แล้ว เป้าระยะยาวที่วางไว้ก็จะไม่สำเร็จ
[ เป้าหมายระยะยาว - อายุ30 ต้องมีเงินเดือน 50k+ และได้ทำงานด้าน marketing business management เพื่อเก็บ exp ให้ตัวเอง และจะได้รู้แน่ว่าเราชอบด้านนี้จริงมั้ย ]
- ต้องได้เกรด 3.30 อย่างต่อเนื่อง จะได้ทุนชั้น3 คือจ่ายค่าหน่วงกิตครึ่งเดียว
- เกรด 3.5 ถึงจะได้ชั้น1กับ2 ฟรีตลอดหลักสูตร แต่น่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทำงานไปด้วย
ทั้งหมด อยากเรียนเพราะ อาชีพที่อยากทำ
ทุกอาชีพต้องใช้ความรู้ด้าน marketing business management หมด
ไม่ว่าจะเป็น AE การตลาด การขาย นักลงทุน การบริหาร
ถ้าเป้าหมายยังเหมือนเดิม จะต้องเรียน เพื่อไปทำในสิ่งที่คิดว่าชอบให้ได้
Flex-MBA : เรียนวันหยุด work exp.1ปี+
เลือก1-2สาย จาก Marketing , Finance* , Operations and Supply Chain Management
Total course fee (approximately) 290,300 Baht
*Young Executive MBA :
วันธรรมดา เย็น 18.30-21.30 3วัน/สัปดาห์ work exp.3y.+
เลือกหลักสูตรไม่ได้ มีบังคับมาแล้ว แต่ไม่รู้ลงเพิ่มได้มั้ย
อย่างน้อยๆอยากเรียน Financial Risk Management ด้วย
คิดว่าที่ให้ใช้เกรด ป.ตรี 3.0 ขึ้นไป คือไม่ต้องสอบข้อเขียน แต่ถ้าสอบ เกรดก็น่าจะไม่ต้องถึง
ต้องใช้เงินประมาณ 400,000 บาท
ความเห็นส่วนตัว
- ข้อดีที่เห็นง่ายที่สุดคือ ymba คือ น่าจะได้ connection ที่ดีกว่า
- อยากเรียนวันธรรมดา เพราะ วันหยุดควรพักบ้าง
- ต้องโทรถามว่า exp ณ ตอนนี้ 2y+ สามารถอนุโลมให้เรียน ymba ได้รึเปล่า
- ถ้าต้องใช้เกรด ป.ตรี 3.0+ จริงๆ ก็ไม่สามารถเรียน ymba ได้
- ถ้าสอบผ่าน f-mba และมีเงิน ก็เรียนได้เลย ไม่ติดเรื่อง exp.
- ทั้ง2หลักสูตรใช้เงินเยอะมากๆ T___T ถ้าเก็บได้ปีละแสน ก็4ปี ถึงได้เรียน ymba และอีก 2ปีกว่าจะจบ รวมเป็น 6ปี ตอนนี้นั้นอายุก็เกิน 30 แล้ว เป้าระยะยาวที่วางไว้ก็จะไม่สำเร็จ
[ เป้าหมายระยะยาว - อายุ30 ต้องมีเงินเดือน 50k+ และได้ทำงานด้าน marketing business management เพื่อเก็บ exp ให้ตัวเอง และจะได้รู้แน่ว่าเราชอบด้านนี้จริงมั้ย ]
- ต้องได้เกรด 3.30 อย่างต่อเนื่อง จะได้ทุนชั้น3 คือจ่ายค่าหน่วงกิตครึ่งเดียว
- เกรด 3.5 ถึงจะได้ชั้น1กับ2 ฟรีตลอดหลักสูตร แต่น่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทำงานไปด้วย
ทั้งหมด อยากเรียนเพราะ อาชีพที่อยากทำ
ทุกอาชีพต้องใช้ความรู้ด้าน marketing business management หมด
ไม่ว่าจะเป็น AE การตลาด การขาย นักลงทุน การบริหาร
ถ้าเป้าหมายยังเหมือนเดิม จะต้องเรียน เพื่อไปทำในสิ่งที่คิดว่าชอบให้ได้
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556
การถกเถียงที่มีประโยชน์ [เคสSPCG]
เมื่อตะกี้นี้เองครับ
ผมได้คุยกับเพื่อนสนิทคนนึง
จริงๆแล้วมันเก่งกว่าผมมากในเรื่องหุ้น
มันจบบัญชีครับ เวลาผมมีคำถามเกี่ยวกับงบหรือแม้แต่ตัวหุ้นเอง ก้มักจะไปคุยกับมันเสมอๆ
ประเด็นวันนี้เริ่มที่มันบอกว่า ไหนลองวิเคราะห์ SPCG คร่าวๆมา
มันอยากได้มุมมองของ vi [เพื่อนผมเป็น hybrid]
ให้เวลา1ชม. ขณะที่มันไปอาบน้ำ
ผมก็คิดว่า ผมรู้แค่ SPCG นี่ทำพลังงานสะอาด รู้แค่นี้เลยจริงๆ
ก็จัดการเปิด settrade ออกมาดูครับ ปรากฎว่า การมองของผมกับมันนั้นต่างกันอย่างมาก
ผมใช้เวลาแค่ 5-10นาที ปิดการวิเคราะห์แบบหย้าบหยาบบบ ของผม
ด้วยข้อความที่ส่งไปหามันดังนี้
มันตอบมาว่า รู้ป่าวว่าการกู้หรือการชำระหนี้ไม่เกี่ยวกับกำไร มันอยู่ที่CF
ซึ่งผมก็รุ้อยู่นะครับ แต่การที่จะเอาเงินกำไรหลัก 100 ไปใช้หนี้ระยะยาวหลักหมื่นเนี่ย
มันไม่ค่อยเซฟเลยสำหรับผม แถมกำไรจะแน่นอนมั้ยก็ยังไม่รู้
และที่ PE 35 คือคิดว่างบครึ่งปีนี้แล้ว*2 ซึ่งสูงสุด โดยไม่เอางบของปีก่อนมาเกี่ยวข้อง
ถ้าทำจะได้ pe ที่สูงกว่านี้มากครับ
คำถามต่อมาของมันคือ เวลาใช้หนี้Dr. Cr. อะไร
ซึ่งผมเคยไปอ่านหนังสือบัญชีเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว1รอบ
บอกเลยครับว่า งง ไม่ค่อยเข้าใจ ตรงนี้เลยยอมแพ้ไป ตอบไม่ได้ครับ
(ผมไม่ได้เรียนบัญชีนะครับ ผมเรียน com-sci.)
มันซัดกลับมาว่า
มันก็ยกตัวอย่างหุ้นอื่นๆที่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้ครับ
เช่น bts หรือ ck ซึ่งอย่าง bts ก็เกิดได้จริงๆ แต่หลักในการลงทุนของผมยังไม่เปลี่ยน
bts แต่ก่อนนู้นผมมองว่าเฉยๆ หนี้ก็เยอะ
ขนาดคนเต็มรถ รายได้ยังแค่นี้ เมื่อเทียบกับราคาหุ้น ราคาจึงออกจะแพงไปหน่อย
จะเพิ่มรายได้แปลว่าต้องซื้อรถใหม่ เพิ่ม cost การลงทุนเข้าไปอีก
แต่ใครจะรู้ครับถ้าไม่ได้ศึกษาจริงๆว่าจะมีรถไฟฟ้าไปทั่วกรุงเทพ หรือตั้งกองทุนขึ้นมาด้วย
ทั้งยังกลายเป็นระบบขนส่งที่ดีวันดีคืน คนใช้มากขึ้นๆ
พออะไรๆชัดเจน ความน่าลงทุนก็เกิดขึ้นมาครับ
นี่จึงเป็นของดีของคนที่มอง trend ออก และเป็นข้อเสียของผมที่ยังมองไม่ออก
ต่อกันที่มันบอกว่ารอน่ะเซฟดี แต่ราคามันไม่รอนะ
ถ้าเราลงทุนแต่เนิ่นๆ โอกาสกำไรหลายๆเด้งก็มากกว่า
ผมตอบกลับไปแบบนี้ครับ (สีเขียว)
ที่พิมพ์มาให้อ่านนี่จะบอกว่าไม่มีใครถูกผิดหรอกครับ
ที่เราเถียงๆกัน มันมีประโยชน์กับทั้งคู่ ผมพัฒนาขึ้น ส่วนมันอาจได้มุมมองของคนที่เซฟขึ้น
มันอยู่ที่มุมมองจริงๆ ครับ ถ้าคนมองเหมือนๆกันหมด หุ้นทั้งตลาดราคาขยับไม่ได้หรอกครับ
อย่างเพื่อนผม มันมองว่าของดี ซื้อแพงตอนนี้ มันจะถูกมากในวันข้างหน้า
ก็คงคล้ายๆเคสที่ CPALL เทค MAKRO ไปน่ะครับ
ถ้ามันถูก มันก็อาจรวยจาก SPCG เลยก็ได้
เพราะดูๆแล้วถ้าลงทุนแต่เนิ่นๆ growth อาจจะมหาศาลเลยทีเดียว
ส่วนผมมองในแง่ของการตั้งรับ ถ้าอะไรๆยังไม่ชัดเจน
เราก็ไม่ควรเอาเงินไปเสี่ยง เพราะธุรกิจดีได้ก็พังได้เหมือนกัน
(อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะมีเวลาไม่มากพอที่จะศึกษาตัวธุรกิจจริงๆ)
เราอาจนำเงินนั้นไปลงทุนในธุรกิจที่คิดว่าดีกว่าหรือมั่นใจมากกว่า จะดีกว่าครับ
ผมได้คุยกับเพื่อนสนิทคนนึง
จริงๆแล้วมันเก่งกว่าผมมากในเรื่องหุ้น
มันจบบัญชีครับ เวลาผมมีคำถามเกี่ยวกับงบหรือแม้แต่ตัวหุ้นเอง ก้มักจะไปคุยกับมันเสมอๆ
ประเด็นวันนี้เริ่มที่มันบอกว่า ไหนลองวิเคราะห์ SPCG คร่าวๆมา
มันอยากได้มุมมองของ vi [เพื่อนผมเป็น hybrid]
ให้เวลา1ชม. ขณะที่มันไปอาบน้ำ
ผมก็คิดว่า ผมรู้แค่ SPCG นี่ทำพลังงานสะอาด รู้แค่นี้เลยจริงๆ
ก็จัดการเปิด settrade ออกมาดูครับ ปรากฎว่า การมองของผมกับมันนั้นต่างกันอย่างมาก
ผมใช้เวลาแค่ 5-10นาที ปิดการวิเคราะห์แบบหย้าบหยาบบบ ของผม
ด้วยข้อความที่ส่งไปหามันดังนี้
มันตอบมาว่า รู้ป่าวว่าการกู้หรือการชำระหนี้ไม่เกี่ยวกับกำไร มันอยู่ที่CF
ซึ่งผมก็รุ้อยู่นะครับ แต่การที่จะเอาเงินกำไรหลัก 100 ไปใช้หนี้ระยะยาวหลักหมื่นเนี่ย
มันไม่ค่อยเซฟเลยสำหรับผม แถมกำไรจะแน่นอนมั้ยก็ยังไม่รู้
และที่ PE 35 คือคิดว่างบครึ่งปีนี้แล้ว*2 ซึ่งสูงสุด โดยไม่เอางบของปีก่อนมาเกี่ยวข้อง
ถ้าทำจะได้ pe ที่สูงกว่านี้มากครับ
คำถามต่อมาของมันคือ เวลาใช้หนี้Dr. Cr. อะไร
ซึ่งผมเคยไปอ่านหนังสือบัญชีเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว1รอบ
บอกเลยครับว่า งง ไม่ค่อยเข้าใจ ตรงนี้เลยยอมแพ้ไป ตอบไม่ได้ครับ
(ผมไม่ได้เรียนบัญชีนะครับ ผมเรียน com-sci.)
มันซัดกลับมาว่า
ซึ่งผมก็บอกว่า เฮ้ย ไม่ใช่ขนาดนั้นนะ แต่รายได้หรือการดำเนินธุรกิจต้องแน่นอนหน่อย
หรืออย่างน้อยขอให้เห็นภาพหน่อย อย่างผมถือ BGH ที่ PE 32-33 ได้ ด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ DCA (durable competitive advantage) หรือการลงทุนเตรียมพร้อมรับ AEC ต่างๆ
ผมสรุปความสงสัยในใจ ในส่วนของ quantity (โดยไม่สนใจ quality) ไปหามัน ดังนี้
- แล้วก้ไม่รุ้ด้วย ปีหน้าจะหนี้เพิ่มรึเปล่า
- ไม่รุ้ดอกจะกินกำไรหมดมั้ย
- รายได้ กำไร จะแบบนี้รึเปล่า
- อาจจะก้าวกระโดดแบบที่มึงอยากได้ก้ได้ อันนี้กุไม่รุ้ เพราะไม่เคยดูตัวธุรกิจ
มันก็ยกตัวอย่างหุ้นอื่นๆที่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้ครับ
เช่น bts หรือ ck ซึ่งอย่าง bts ก็เกิดได้จริงๆ แต่หลักในการลงทุนของผมยังไม่เปลี่ยน
bts แต่ก่อนนู้นผมมองว่าเฉยๆ หนี้ก็เยอะ
ขนาดคนเต็มรถ รายได้ยังแค่นี้ เมื่อเทียบกับราคาหุ้น ราคาจึงออกจะแพงไปหน่อย
จะเพิ่มรายได้แปลว่าต้องซื้อรถใหม่ เพิ่ม cost การลงทุนเข้าไปอีก
แต่ใครจะรู้ครับถ้าไม่ได้ศึกษาจริงๆว่าจะมีรถไฟฟ้าไปทั่วกรุงเทพ หรือตั้งกองทุนขึ้นมาด้วย
ทั้งยังกลายเป็นระบบขนส่งที่ดีวันดีคืน คนใช้มากขึ้นๆ
พออะไรๆชัดเจน ความน่าลงทุนก็เกิดขึ้นมาครับ
นี่จึงเป็นของดีของคนที่มอง trend ออก และเป็นข้อเสียของผมที่ยังมองไม่ออก
ต่อกันที่มันบอกว่ารอน่ะเซฟดี แต่ราคามันไม่รอนะ
ถ้าเราลงทุนแต่เนิ่นๆ โอกาสกำไรหลายๆเด้งก็มากกว่า
ผมตอบกลับไปแบบนี้ครับ (สีเขียว)
ผมคิดแบบนี้จริงๆนะครับ ว่าถ้าตัวธุรกิจ(อาจรวมถึงงบ)ยังไม่แสดงความชัดเจนออกมา
ผมจะรอจนกว่ามันจะชัดเจน กำไรอาจน้อยลงเยอะ แต่ดีกว่าเอาเงินไปเสี่ยง
และยิ่งเรามีเงินจำกัด บางทีเราควรเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนในหุ้นตัวที่เราเข้าใจและมั่นใจกว่า
หรื่อในกรณีของ vi ท่านอื่นๆ อาจบอกว่าเอาไปลงตัวที่มี MOS ดีกว่า
ที่พิมพ์มาให้อ่านนี่จะบอกว่าไม่มีใครถูกผิดหรอกครับ
ที่เราเถียงๆกัน มันมีประโยชน์กับทั้งคู่ ผมพัฒนาขึ้น ส่วนมันอาจได้มุมมองของคนที่เซฟขึ้น
มันอยู่ที่มุมมองจริงๆ ครับ ถ้าคนมองเหมือนๆกันหมด หุ้นทั้งตลาดราคาขยับไม่ได้หรอกครับ
อย่างเพื่อนผม มันมองว่าของดี ซื้อแพงตอนนี้ มันจะถูกมากในวันข้างหน้า
ก็คงคล้ายๆเคสที่ CPALL เทค MAKRO ไปน่ะครับ
ถ้ามันถูก มันก็อาจรวยจาก SPCG เลยก็ได้
เพราะดูๆแล้วถ้าลงทุนแต่เนิ่นๆ growth อาจจะมหาศาลเลยทีเดียว
ส่วนผมมองในแง่ของการตั้งรับ ถ้าอะไรๆยังไม่ชัดเจน
เราก็ไม่ควรเอาเงินไปเสี่ยง เพราะธุรกิจดีได้ก็พังได้เหมือนกัน
(อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะมีเวลาไม่มากพอที่จะศึกษาตัวธุรกิจจริงๆ)
เราอาจนำเงินนั้นไปลงทุนในธุรกิจที่คิดว่าดีกว่าหรือมั่นใจมากกว่า จะดีกว่าครับ
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน ยังไงก็ต้องขาย ((HTECH))
สวัสดีครับ
ห่างหายไปซะนานเลย
วันนี้กลับมาเคาะคีบอร์ดอีกครั้ง
ก็เหมือนเคยครับ กำไรไม่เล่า บันทึกเรื่องขาดทุนเป็นหลัก
(จริงๆ กำไรไม่ค่อยจะมี แฮะๆ T____T)
วันนี้เป็นวันที่ผมตัด หุ้นHTECH ทิ้ง เพราะเหตุผลทางด้านการเงินและธุรกิจ
(วันนี้งบออกวันแรกครับ รีบอ่านเสร็จก็ตัดสินใจทยอยขายเลย)
ก่อนอื่นเรามาดูกันครับ เมื่อครั้งที่ผมบันทึกไว้ว่าทำไมถึงเข้าลงทุนใน HTECH
จาก Annual report 2011 และการวิเคราะห์ของผมเอง
ผลิต รับจ้างผลิต และจำหน่ายเครื่องมือตัด (Cutting Tools) ที่ทำมาจากเพชรสังเคราะห์
รองรับงานด้านอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Hard Disk Drive และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ธุรกิจผลิตเครืื่องมือ ธุรกิจผลิตชิิ้นส่วนโลหะ ธุรกิจจัดจำหน่ายเครืื่องมือตัดโลหะ
มีสาขาที่สิงคโปร์
- อุตสาหกรรมผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟมีการแข่งขันด้านราคาและเทคโนโลยีที่สูง
- ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟมีการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำทั่วโลก
- ได้รับการส่งเสริมโดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น ยกเว้นอาการขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล BOI 8ปี เริ่มปี 51 เว้นภาษีนำเข้าถึง กย.57
- ผู้บริหารประมาณว่าในปี 2554 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ร้อยละ 40 ของปริมาณ
การใช้เครื่องมือตัดประเภท PCD ในประเทศไทย
- บริษัทมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้ผลิตที่มีมาตรฐานสินค้าคุณภาพสูง
- การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาของ Flash memory ลดลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟและทำให้บริษัทได้รับความเสี่ยงจากการพึ่งพิงอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียว
- สัดส่วนยอดขาย HD มี 72% ในปี 54 , 79% ปี53 พยายามลดอยุ่ ไปทำอย่างอื่นมากขึ้น เช่นชิ้นส่วนบายยนต์
- Q2/55 กับ Q1/55 กำไรQละ 40m แต่ Q3/55 กำไร 25.9m ไม่รุ้ทำไม แต่ครึ่งปีของปี55 ก้กำไรเกิน54ทั้งปีแล้ว
- แต่ปี55 จน.หุ้นเพิ่มเปน 256.2m แต่54 จะอยุ่แค่ 240m
- ปี 54 EPS 0.36 ตอนนี้ Q3/55 EPS 0.38
กำไรขั้นต้น 40 กำไรสุทธิ 20% จากยอดขาย ดีมาก
ROE ROA ดี 20 กับ 15%
D/E ประมาณ 0.45 เท่า
ถ้าจำไม่ผิดท้ายปี55 หรือต้น56 ผมฟัง ผบห. บอกว่าจะพยายามรักษาอัพตรากำไรสุทธิไว้ที่ 20% ครับ
โอเคครับ ทราบเหตุผลที่ซื้อกันไปแล้ว
ทีนี้มาถึเหตุที่ตัดสินใจขายHTECH นะครับ
HTECH มีรายได้เท่าๆเดิม yoy แต่มี คชจ. มากขึ้นจาก 95 เป็น 121m
มีกำไรก่อนภาษีและดอกเบี้ยจ่ายหรือ EBIT ที่ 16m จาก 41m แค่นี้ก็เริ่มแย่แล้วครับ
แต่ว่าภาษียังเสียมากขึ้นด้วย ซึ่งผมยอมรับว่าไม่รู้จริงๆว่าทำไม
รวมแล้วกำไร15m จาก 40m YoY ครับ
EPS ปี56 เทียบปี55 คือ 0.0471 กับ 0.1519 ครับ
เมื่อคิดอัตรากำไรสุทธิก็จะได้ราวๆ 11% ครับ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ ผบห. พูดไว้
นี่คือจุดเปลี่ยนทางด้านการเงินสำหรับผมนะครับ
[จาก ชี้แจงผลการดาเนินงาน]
"เนื่องจากในไตรมาสที่ 1-2/2555 บริษัทมียอดขายสูงผิดปกติจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้าท่วมช่วงปลายปี 2554 แต่ในช่วงปลายปี 2555 ที่ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เริ่มลดลงจากการหดตัวของอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง"
และตรงนี้ผมถือเป็นจุดเปลี่ยนอย่างมากของธุรกิจนะครับ
เพราะว่ากลุ่มฮาร์ดดิส(HD) ตอนนี้ไม่ดีอย่างเดิมแล้ว ทำให้ htech เองต้องไปเน้นที่กลุ่มรถ
และอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น (เช่นซื้อ HS หรือ Halcyon Technology Singapore)
ซึ่งกว่าจะกำไรเท่า HD ซึ่งน่าจะมีสัดส่วนกว่า 70% ของกำไรรวมก็คงจะยากมากกก
และถึงแม้จะทำได้ ก็ยังมีด่าน BOI ซึ่งจะหมดอายุในปี57อีก
ตรงนี้ผมต้องยอมรับความผิดพลาดแล้วครับ
ว่าวิเคราะห์ผิดทาง ตอนซื้อไม้รู้เลยจริงๆว่า HD จะอ่อนแอลงแบบนี้
จริงๆพอจะทราบตั้งแต่ Q1/56 แล้ว ว่า HD ไม่ดีเหมือนก่อน
แต่ยังยื้อจะรอดู Q2 ตอนนี้ตัวเลขก็ออกมาค่อนข้างชัดเจนครับ
ต้องยอมรับและตัดขาดทุนกันไปครับ
* ที่เขียนมาไม่ได้มีเจตนาบอกให้ขายนะครับ
บางทีบริษัทอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงธุรกิจหรืออาจดีขึ้นมากๆในอนาคตด้วยซ้ำ
ทั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับซื้อของบางท่านด้วย
ต้องแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนไปครับ
ห่างหายไปซะนานเลย
วันนี้กลับมาเคาะคีบอร์ดอีกครั้ง
ก็เหมือนเคยครับ กำไรไม่เล่า บันทึกเรื่องขาดทุนเป็นหลัก
(จริงๆ กำไรไม่ค่อยจะมี แฮะๆ T____T)
วันนี้เป็นวันที่ผมตัด หุ้นHTECH ทิ้ง เพราะเหตุผลทางด้านการเงินและธุรกิจ
(วันนี้งบออกวันแรกครับ รีบอ่านเสร็จก็ตัดสินใจทยอยขายเลย)
ก่อนอื่นเรามาดูกันครับ เมื่อครั้งที่ผมบันทึกไว้ว่าทำไมถึงเข้าลงทุนใน HTECH
จาก Annual report 2011 และการวิเคราะห์ของผมเอง
ผลิต รับจ้างผลิต และจำหน่ายเครื่องมือตัด (Cutting Tools) ที่ทำมาจากเพชรสังเคราะห์
รองรับงานด้านอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Hard Disk Drive และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ธุรกิจผลิตเครืื่องมือ ธุรกิจผลิตชิิ้นส่วนโลหะ ธุรกิจจัดจำหน่ายเครืื่องมือตัดโลหะ
มีสาขาที่สิงคโปร์
- อุตสาหกรรมผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟมีการแข่งขันด้านราคาและเทคโนโลยีที่สูง
- ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟมีการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำทั่วโลก
- ได้รับการส่งเสริมโดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น ยกเว้นอาการขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล BOI 8ปี เริ่มปี 51 เว้นภาษีนำเข้าถึง กย.57
- ผู้บริหารประมาณว่าในปี 2554 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ร้อยละ 40 ของปริมาณ
การใช้เครื่องมือตัดประเภท PCD ในประเทศไทย
- บริษัทมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้ผลิตที่มีมาตรฐานสินค้าคุณภาพสูง
- การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาของ Flash memory ลดลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟและทำให้บริษัทได้รับความเสี่ยงจากการพึ่งพิงอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียว
- สัดส่วนยอดขาย HD มี 72% ในปี 54 , 79% ปี53 พยายามลดอยุ่ ไปทำอย่างอื่นมากขึ้น เช่นชิ้นส่วนบายยนต์
- Q2/55 กับ Q1/55 กำไรQละ 40m แต่ Q3/55 กำไร 25.9m ไม่รุ้ทำไม แต่ครึ่งปีของปี55 ก้กำไรเกิน54ทั้งปีแล้ว
- แต่ปี55 จน.หุ้นเพิ่มเปน 256.2m แต่54 จะอยุ่แค่ 240m
- ปี 54 EPS 0.36 ตอนนี้ Q3/55 EPS 0.38
กำไรขั้นต้น 40 กำไรสุทธิ 20% จากยอดขาย ดีมาก
ROE ROA ดี 20 กับ 15%
D/E ประมาณ 0.45 เท่า
ถ้าจำไม่ผิดท้ายปี55 หรือต้น56 ผมฟัง ผบห. บอกว่าจะพยายามรักษาอัพตรากำไรสุทธิไว้ที่ 20% ครับ
โอเคครับ ทราบเหตุผลที่ซื้อกันไปแล้ว
ทีนี้มาถึเหตุที่ตัดสินใจขายHTECH นะครับ
HTECH มีรายได้เท่าๆเดิม yoy แต่มี คชจ. มากขึ้นจาก 95 เป็น 121m
มีกำไรก่อนภาษีและดอกเบี้ยจ่ายหรือ EBIT ที่ 16m จาก 41m แค่นี้ก็เริ่มแย่แล้วครับ
แต่ว่าภาษียังเสียมากขึ้นด้วย ซึ่งผมยอมรับว่าไม่รู้จริงๆว่าทำไม
รวมแล้วกำไร15m จาก 40m YoY ครับ
EPS ปี56 เทียบปี55 คือ 0.0471 กับ 0.1519 ครับ
เมื่อคิดอัตรากำไรสุทธิก็จะได้ราวๆ 11% ครับ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ ผบห. พูดไว้
นี่คือจุดเปลี่ยนทางด้านการเงินสำหรับผมนะครับ
[จาก ชี้แจงผลการดาเนินงาน]
"เนื่องจากในไตรมาสที่ 1-2/2555 บริษัทมียอดขายสูงผิดปกติจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้าท่วมช่วงปลายปี 2554 แต่ในช่วงปลายปี 2555 ที่ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เริ่มลดลงจากการหดตัวของอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง"
และตรงนี้ผมถือเป็นจุดเปลี่ยนอย่างมากของธุรกิจนะครับ
เพราะว่ากลุ่มฮาร์ดดิส(HD) ตอนนี้ไม่ดีอย่างเดิมแล้ว ทำให้ htech เองต้องไปเน้นที่กลุ่มรถ
และอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น (เช่นซื้อ HS หรือ Halcyon Technology Singapore)
ซึ่งกว่าจะกำไรเท่า HD ซึ่งน่าจะมีสัดส่วนกว่า 70% ของกำไรรวมก็คงจะยากมากกก
และถึงแม้จะทำได้ ก็ยังมีด่าน BOI ซึ่งจะหมดอายุในปี57อีก
ตรงนี้ผมต้องยอมรับความผิดพลาดแล้วครับ
ว่าวิเคราะห์ผิดทาง ตอนซื้อไม้รู้เลยจริงๆว่า HD จะอ่อนแอลงแบบนี้
จริงๆพอจะทราบตั้งแต่ Q1/56 แล้ว ว่า HD ไม่ดีเหมือนก่อน
แต่ยังยื้อจะรอดู Q2 ตอนนี้ตัวเลขก็ออกมาค่อนข้างชัดเจนครับ
ต้องยอมรับและตัดขาดทุนกันไปครับ
* ที่เขียนมาไม่ได้มีเจตนาบอกให้ขายนะครับ
บางทีบริษัทอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงธุรกิจหรืออาจดีขึ้นมากๆในอนาคตด้วยซ้ำ
ทั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับซื้อของบางท่านด้วย
ต้องแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนไปครับ
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ได้หุ้น VGI จากขนมไหว้พระจันทร์ !!?
โฟสนี้จะมาเล่าให้ฟังครับ ว่าครั้งนึงผมเคยตัดสินใจซื้อหุ้น VGI จากขนมไหว้พระจันทร์
เอ๊ะ !? เกี่ยวกันยังไง โฆษณาบนรถไฟฟ้ากับขนมไหว้พระจันทร์ ???
ขอเกริ่นก่อนนะครับว่าโฟสนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนผมคนนึงในเฟสบุค
ที่เค้าออกมาโฟสว่า ตัดสินใจซื้อหุ้น CPF เพียงเพราะชอบไข่ต้ม
ถามว่า การเลือกหุ้นหรือการแสวงหาหุ้นแบบนี้ใช้ได้มั้ย
ผมตอบให้เลยครับว่า ได้ !! แต่มันมีเงื่อนไขครับ
ไม่ใช่ว่าเห็น cp ต้มไข่ออกมาดี ขายดีก็ซื้อหุ้นซะเลย
ก่อนอื่นเราต้องศึกษางบการเงินจนเข้าใจ กำไรมั้ย กำไรแค่ไหน ยั่งยืนมั้ย
และศึกษาธุรกิจให้เข้าใจ ควรรู้ว่าสินค้าที่เราชอบนั้นคิดเป็นกี่%ของกำไรในแต่ละปี
ไม่ใช่ว่าเห็นไข่ต้มดีจริงๆ แต่มันคิดเป็นรายได้แค่ 0.2% ของรายได้รวม
แบบนี้ต่อให้ไข่ต้มขายดียังไง ก็คงไม่ไหวละครับ
แต่ถ้า เออ ไข่ต้มก็ดี ขายไก่ก็โอเค แต่ตอนนี้ราคาตก (อาจมองเป็นโอกาส) อาหารสัตว์ก็ใช้ได้
งบการเงินสวย ธุรกิจดูแข็งแกร่ง ถ้ามั่นใจแบบนี้ ก็มาพิจารณาราคากันต่อ ว่าโอเคมั้ยครับ
เอาละครับ ทีนี้กลับมาที่ VGI ของเรากันต่อ
จริงๆแล้วผมทำงานเป็น programmer ครับ อยู่ใน digital agency แห่งหนึ่ง
แล้วบังเอิญว่าบริษัทที่ผมอยู่ มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่งจากเมืองนอกครับ
ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีบริษัทลูกอยู่เยอะ และบริษัทลูกแห่งหนึ่งเนี่ย
เค้าเป็นคู่ค้ากับทาง VGI ครับ
ทีนี้ VGI ก็เลยส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้เป็นของขวัญ
ทั้ง office รวมถึงทีมของผมก็พลอยได้รับมาด้วย
ถ้าส่งมาแค่ 2กล่อง 5กล่อง มันก็ไม่เท่าไหร่ครับ
บังเอิญว่าผมดันไปเห็นตอนเค้าขน โอโห เป็นลังๆครับ เอามาเยอะมาก
ผมเดาว่าคงแจกทั้งกรุ๊ปเลย แล้วก็แอบเหลือบไปเห็นตัวอักษรว่า VGI ครับ
ตอนนั้น VGI ยังไม่เข้าตลาดนะครับ แค่ข่าว ipo ตอนนั้นก็ยังแทบไม่มี
ผมก็งง บริษัทอะไร แจกของดีขนาดนี้ (ขนมอร่อยมากครับ มาจากโรงแรม)
แถมยังให้ทีนึงเยอะด้วย กำไรคงจะดีมากๆแน่ๆ
ไม่รอช้าครับ ถามพี่ในทีมเลย ว่า VGI ทำอะไร
พี่ๆเค้าก็ไม่ค่อยรู้ครับ เพราะพวกเราอยู่ฝั่ง production
เค้าบอกว่าน่าจะเกี่ยวกับโฆษณานี่แหละ แต่ไม่รู้ที่ไหน
แต่มีพี่คนนึงบอกว่าคุ้นๆว่าน่าจะเกี่ยวกับ BTS นะ
ผมก็หูผึ่งเลยครับ เพราะผมเดาเอาไปแล้วว่าต้องเป็นโฆษณาบนรถไฟฟ้า
ไม่รอช้าครับ กลับบ้านไปก็หาข้อมูลของ VGI เลย
ก็นั่งอ่านไปอ่านมา อย่างที่ทุกๆท่านทราบครับ
VGI ก็เป็นบริษัทลูกของ BTS ทำธุรกิจโฆษณานั่นแหละ แถมมีข่าวกำลังจะเข้า IPO ซะด้วย
นั่นแหละครับ เป็นเหตุให้ผมไปนั่งหาข้อมูลของ VGI
และตัดสินใจตั้ง ATO ซื้อ VGI ในวันเข้าตลาดครับ
แต่ว่าถือได้ไม่นานมากก็ขายครับ เพราะผมมองว่า PE มันสูงเหลือเกิน
และด้วยความที่ข้อมูลก็ยังไม่ได้แน่น เพราะใช้เวลาศึกษาธุรกิจไม่มาก
ก็เลยกลัวว่าพอคนหมดความคาดหวังแล้ว ราคาก็จะดิ่งลง
สรุปแล้วผมขาย VGI ไปได้กำไรประมาณ 60-80% ครับ
แต่เป็นตัวเงินไม่เยอะหรอก เพราะผมไม่ค่อยมีตัง 555
แต่ถ้ามาดูเฉพาะราคาในวันนี้นะครับ...
ผมบอกได้เลยว่านั่นคือการขายหมูครั้งใหญ่เลยหละครับ T___T
เอ๊ะ !? เกี่ยวกันยังไง โฆษณาบนรถไฟฟ้ากับขนมไหว้พระจันทร์ ???
ขอเกริ่นก่อนนะครับว่าโฟสนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนผมคนนึงในเฟสบุค
ที่เค้าออกมาโฟสว่า ตัดสินใจซื้อหุ้น CPF เพียงเพราะชอบไข่ต้ม
ถามว่า การเลือกหุ้นหรือการแสวงหาหุ้นแบบนี้ใช้ได้มั้ย
ผมตอบให้เลยครับว่า ได้ !! แต่มันมีเงื่อนไขครับ
ไม่ใช่ว่าเห็น cp ต้มไข่ออกมาดี ขายดีก็ซื้อหุ้นซะเลย
ก่อนอื่นเราต้องศึกษางบการเงินจนเข้าใจ กำไรมั้ย กำไรแค่ไหน ยั่งยืนมั้ย
และศึกษาธุรกิจให้เข้าใจ ควรรู้ว่าสินค้าที่เราชอบนั้นคิดเป็นกี่%ของกำไรในแต่ละปี
ไม่ใช่ว่าเห็นไข่ต้มดีจริงๆ แต่มันคิดเป็นรายได้แค่ 0.2% ของรายได้รวม
แบบนี้ต่อให้ไข่ต้มขายดียังไง ก็คงไม่ไหวละครับ
แต่ถ้า เออ ไข่ต้มก็ดี ขายไก่ก็โอเค แต่ตอนนี้ราคาตก (อาจมองเป็นโอกาส) อาหารสัตว์ก็ใช้ได้
งบการเงินสวย ธุรกิจดูแข็งแกร่ง ถ้ามั่นใจแบบนี้ ก็มาพิจารณาราคากันต่อ ว่าโอเคมั้ยครับ
เอาละครับ ทีนี้กลับมาที่ VGI ของเรากันต่อ
จริงๆแล้วผมทำงานเป็น programmer ครับ อยู่ใน digital agency แห่งหนึ่ง
แล้วบังเอิญว่าบริษัทที่ผมอยู่ มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่งจากเมืองนอกครับ
ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีบริษัทลูกอยู่เยอะ และบริษัทลูกแห่งหนึ่งเนี่ย
เค้าเป็นคู่ค้ากับทาง VGI ครับ
ทีนี้ VGI ก็เลยส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้เป็นของขวัญ
ทั้ง office รวมถึงทีมของผมก็พลอยได้รับมาด้วย
ถ้าส่งมาแค่ 2กล่อง 5กล่อง มันก็ไม่เท่าไหร่ครับ
บังเอิญว่าผมดันไปเห็นตอนเค้าขน โอโห เป็นลังๆครับ เอามาเยอะมาก
ผมเดาว่าคงแจกทั้งกรุ๊ปเลย แล้วก็แอบเหลือบไปเห็นตัวอักษรว่า VGI ครับ
ตอนนั้น VGI ยังไม่เข้าตลาดนะครับ แค่ข่าว ipo ตอนนั้นก็ยังแทบไม่มี
ผมก็งง บริษัทอะไร แจกของดีขนาดนี้ (ขนมอร่อยมากครับ มาจากโรงแรม)
แถมยังให้ทีนึงเยอะด้วย กำไรคงจะดีมากๆแน่ๆ
ไม่รอช้าครับ ถามพี่ในทีมเลย ว่า VGI ทำอะไร
พี่ๆเค้าก็ไม่ค่อยรู้ครับ เพราะพวกเราอยู่ฝั่ง production
เค้าบอกว่าน่าจะเกี่ยวกับโฆษณานี่แหละ แต่ไม่รู้ที่ไหน
แต่มีพี่คนนึงบอกว่าคุ้นๆว่าน่าจะเกี่ยวกับ BTS นะ
ผมก็หูผึ่งเลยครับ เพราะผมเดาเอาไปแล้วว่าต้องเป็นโฆษณาบนรถไฟฟ้า
ไม่รอช้าครับ กลับบ้านไปก็หาข้อมูลของ VGI เลย
ก็นั่งอ่านไปอ่านมา อย่างที่ทุกๆท่านทราบครับ
VGI ก็เป็นบริษัทลูกของ BTS ทำธุรกิจโฆษณานั่นแหละ แถมมีข่าวกำลังจะเข้า IPO ซะด้วย
นั่นแหละครับ เป็นเหตุให้ผมไปนั่งหาข้อมูลของ VGI
และตัดสินใจตั้ง ATO ซื้อ VGI ในวันเข้าตลาดครับ
แต่ว่าถือได้ไม่นานมากก็ขายครับ เพราะผมมองว่า PE มันสูงเหลือเกิน
และด้วยความที่ข้อมูลก็ยังไม่ได้แน่น เพราะใช้เวลาศึกษาธุรกิจไม่มาก
ก็เลยกลัวว่าพอคนหมดความคาดหวังแล้ว ราคาก็จะดิ่งลง
สรุปแล้วผมขาย VGI ไปได้กำไรประมาณ 60-80% ครับ
แต่เป็นตัวเงินไม่เยอะหรอก เพราะผมไม่ค่อยมีตัง 555
แต่ถ้ามาดูเฉพาะราคาในวันนี้นะครับ...
ผมบอกได้เลยว่านั่นคือการขายหมูครั้งใหญ่เลยหละครับ T___T
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ติดตาม BANPU
ติดตาม BANPU หลัง cut loss ไปเมื่อ2เดือนก่อน
จริงๆถ้ามาติดตามตอนนี้ก็ดูจะไม่แฟร์นักนะครับ
เพราะ SET อยู่ในช่วง side way หรือ side way down และตกลงมามากพอสมควร
แต่บังเอิญผมมีเวลาว่างตอนนี้พอดี ก็เลยขอเปรียบเทียบเป็นบันทึกให้ตัวเองดูเสียหน่อย
จากกราฟ day จะเห็นได้ว่าช่วง2เดือนที่ผ่านมาราคาของหุ้น banpu ลดลงอย่างต่อเนื่อง
อาจด้วยเพราะผลจาก set ที่ร่วงลงมาด้วยครับ
แต่หลักๆน่าจะมาจากธุรกิจถ่านหินที่เป็น cycle ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง
ซึ่งอย่างที่เคยกล่าวไปแล้วในครั้งก่อนว่าการเล่นกับ commodity นั้นเราต้องดูวัฎจักรให้ขาด
ซื้อในช่วงขาลงสุด หรือประเมินแล้วว่าเกือบสุด
จากนั้นรอให้ฟื้นตัว จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
ที่สำคัญการคิดค่า PE โดยดูจาก trailing P/E หรือดู EPS 4ไตรมาสย้อนหลังนั้นทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะครับ เพราะเราจะไปคิดเอาว่า PE ตอนนี้ต่ำ พาลไปคิดว่าถูก แต่จริงๆแล้วหากเป็นช่วงตกต่ำ กำไรในอนาคตไม่สามารถยืนได้แบบในอดีตครับ
( สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักชนิดของ PE เชิญอ่านได้ที่ http://www.iammrmessenger.com/?p=360 เขียนได้ดีและอ่านง่ายมากครับ ^^ )
ถึงตอนนี้ผู้คนคงจะมองภาพว่าบ้านปูนั้นไปได้ยากเต็มทีครับ ก็เลยขายกันออกมากันยกใหญ่
แต่สิ่งนึงที่น่าสนใจคือ บ.นำเงินมาซื้อหุ้นคืนอยู่เป็นระยะๆ และหลายครั้งครับ
จริงๆถ้ามาติดตามตอนนี้ก็ดูจะไม่แฟร์นักนะครับ
เพราะ SET อยู่ในช่วง side way หรือ side way down และตกลงมามากพอสมควร
แต่บังเอิญผมมีเวลาว่างตอนนี้พอดี ก็เลยขอเปรียบเทียบเป็นบันทึกให้ตัวเองดูเสียหน่อย
จากกราฟ day จะเห็นได้ว่าช่วง2เดือนที่ผ่านมาราคาของหุ้น banpu ลดลงอย่างต่อเนื่อง
อาจด้วยเพราะผลจาก set ที่ร่วงลงมาด้วยครับ
แต่หลักๆน่าจะมาจากธุรกิจถ่านหินที่เป็น cycle ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง
ซึ่งอย่างที่เคยกล่าวไปแล้วในครั้งก่อนว่าการเล่นกับ commodity นั้นเราต้องดูวัฎจักรให้ขาด
ซื้อในช่วงขาลงสุด หรือประเมินแล้วว่าเกือบสุด
จากนั้นรอให้ฟื้นตัว จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
ที่สำคัญการคิดค่า PE โดยดูจาก trailing P/E หรือดู EPS 4ไตรมาสย้อนหลังนั้นทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะครับ เพราะเราจะไปคิดเอาว่า PE ตอนนี้ต่ำ พาลไปคิดว่าถูก แต่จริงๆแล้วหากเป็นช่วงตกต่ำ กำไรในอนาคตไม่สามารถยืนได้แบบในอดีตครับ
( สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักชนิดของ PE เชิญอ่านได้ที่ http://www.iammrmessenger.com/?p=360 เขียนได้ดีและอ่านง่ายมากครับ ^^ )
ถึงตอนนี้ผู้คนคงจะมองภาพว่าบ้านปูนั้นไปได้ยากเต็มทีครับ ก็เลยขายกันออกมากันยกใหญ่
แต่สิ่งนึงที่น่าสนใจคือ บ.นำเงินมาซื้อหุ้นคืนอยู่เป็นระยะๆ และหลายครั้งครับ
ตรงนี้ใครจะมองว่าเป็นการพยุงราคาหุ้น หรือเป็นโอกาสที่ ผบห. มองเห็นก็แล้วแต่มุมมองนะครับ
แต่ถ้าถามผม ตอนนี้ผมยังคงมองว่าบ้านปูเป็นบริษัทที่ดีครับ แต่ในเมื่อภาพใหญ่ถ่านหินมันไม่ไป
บ้านปูเองคงจะทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากงัดแผนการสร้างรายได้ทางอื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้า
ออกมาเข็นบริษัทให้มีรายได้ และรอจนกว่า cycle ของถ่านหินซึ่งเป็นธุรกิจหลักจะกลับบคืนมา
เมื่อนั้นแหละครับ ใครประเมินได้ และเข้าได้ถูกจังหวะ คนนั้นจะได้กินคำโตที่สุดในเวลาน้อยที่สุดครับ
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556
SET ร่วง แต่เรายังอยู่...(มั้ย)
ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ประสบการณ์น้อยๆ เจอ SET ช่วงนี้เข้าไปคงอึ้งเหมือนกันนะครับ
โดยเฉพาะถ้าหาจังหวะเข้าพร้อมๆกันกับผม
ผมเข้าช่วงวิกฤติกรีซครับ SET อยู่ที่ 1100
และหลังจากนั้นภาพใหญ่ก็เป็นขาขึ้นมาตลอด
จนดัชนีมาถึงจุดสูงสุดที่ราวๆ 1650 ครับ
จากรูป จะเห็นว่าช่วง 2-3สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีลงเอาๆนะครับ
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมีโอกาสดูการเคลื่อนไหวของดัชนีช่วงบ่ายๆ
เรื่องมันมีอยู่ว่า พอร์ต stock master ของผม มี dw อยู่ตัวนึงครับ
(ปกติพอร์ตหลักผมจะสนใจแต่หุ้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ของ SM ผมลองเล่นเก็งกำไรครับ)
ผมดีใจดี๊ด๊าเพราะ dw ที่ call ไว้ตัวนั้น กลับขึ้นมาเขียว
ผมเลยระบายออกบางส่วน แต่ก็ยังอยู่ในมือซะเยอะ
ดีใจได้ไม่เท่าไหร่ครับ set จากที่บวกๆอยู่ 20จุด จู่ๆก็ลดลงๆๆ
ใช้เวลาเพียงครึ่งชม.ครับ set -30 จุด
และปิดวันไปอย่างสวยงามที่ -43 จุด
มือใหม่ๆ ประสบการณ์ยังไม่ถึง2ปีก็งงกันหละครับ
ว่าหุ้นนี่นึกจะลง ก็สามารถลงได้ไวขนาดนี้เลย
จากเรื่องของผมข้างบนนี้ มันจึงเป็นที่มาของชื่อหัวข้อครับ
" SET ร่วง แต่เรายังอยู่...(มั้ย) "
คือถ้าเรามั่นใจในพื้นฐาน และคิดรอบด้านต่างๆนาๆแล้วเห็นว่าหุ้นเรายังดีจริง
ณ จุดนี้ก็ควรคิดเรื่ิงสะสมเพิ่มนะครับ แปลว่าเรายังอยู่ได้ ยังสู้ไหว แม้หุ้นจะดิ่งลงเอาๆ
ส่วนสายเทคนิคก็ต้องคุมอารมณ์ stop loss take profit ให้ไว
เล่นตามเทคนิคที่ชำนาญ ถ้าทำได้ก็แปลว่ายังไหวครับ
อย่าให้เป็นเหมือนผมนะครับ เทคนิคไม่แม่น แต่อยากลองของ
ขาดทุนติดพอร์ตอยู่เยอะครับ
นี่เป็นอีก1ความน่ากลัวของ DW นะครับ เวลาลงพี่แกเล่นลงใจหายเหมือนกัน
ไอ้แบบนี้เรียกอยู่ไม่ไหวครับ ความรู้เทคนิคไม่แน่น ลองของผิดเวลาซะด้วย
ยังไงช่วงนี้มือใหม่ๆอย่างเราๆก็สู้ๆนะครับ
มันมีลง มันก็ต้องมีขึ้นครับ
คอยติดตามข่าวสาร วิเคราะห์กิจการให้ดี
เผลอๆหุ้นดีๆจะลงมาให้เก็บ สบายเลยครับ
โดยเฉพาะถ้าหาจังหวะเข้าพร้อมๆกันกับผม
ผมเข้าช่วงวิกฤติกรีซครับ SET อยู่ที่ 1100
และหลังจากนั้นภาพใหญ่ก็เป็นขาขึ้นมาตลอด
จนดัชนีมาถึงจุดสูงสุดที่ราวๆ 1650 ครับ
จากรูป จะเห็นว่าช่วง 2-3สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีลงเอาๆนะครับ
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมีโอกาสดูการเคลื่อนไหวของดัชนีช่วงบ่ายๆ
เรื่องมันมีอยู่ว่า พอร์ต stock master ของผม มี dw อยู่ตัวนึงครับ
(ปกติพอร์ตหลักผมจะสนใจแต่หุ้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ของ SM ผมลองเล่นเก็งกำไรครับ)
ผมดีใจดี๊ด๊าเพราะ dw ที่ call ไว้ตัวนั้น กลับขึ้นมาเขียว
ผมเลยระบายออกบางส่วน แต่ก็ยังอยู่ในมือซะเยอะ
ดีใจได้ไม่เท่าไหร่ครับ set จากที่บวกๆอยู่ 20จุด จู่ๆก็ลดลงๆๆ
ใช้เวลาเพียงครึ่งชม.ครับ set -30 จุด
และปิดวันไปอย่างสวยงามที่ -43 จุด
มือใหม่ๆ ประสบการณ์ยังไม่ถึง2ปีก็งงกันหละครับ
ว่าหุ้นนี่นึกจะลง ก็สามารถลงได้ไวขนาดนี้เลย
จากเรื่องของผมข้างบนนี้ มันจึงเป็นที่มาของชื่อหัวข้อครับ
" SET ร่วง แต่เรายังอยู่...(มั้ย) "
คือถ้าเรามั่นใจในพื้นฐาน และคิดรอบด้านต่างๆนาๆแล้วเห็นว่าหุ้นเรายังดีจริง
ณ จุดนี้ก็ควรคิดเรื่ิงสะสมเพิ่มนะครับ แปลว่าเรายังอยู่ได้ ยังสู้ไหว แม้หุ้นจะดิ่งลงเอาๆ
ส่วนสายเทคนิคก็ต้องคุมอารมณ์ stop loss take profit ให้ไว
เล่นตามเทคนิคที่ชำนาญ ถ้าทำได้ก็แปลว่ายังไหวครับ
อย่าให้เป็นเหมือนผมนะครับ เทคนิคไม่แม่น แต่อยากลองของ
ขาดทุนติดพอร์ตอยู่เยอะครับ
นี่เป็นอีก1ความน่ากลัวของ DW นะครับ เวลาลงพี่แกเล่นลงใจหายเหมือนกัน
ไอ้แบบนี้เรียกอยู่ไม่ไหวครับ ความรู้เทคนิคไม่แน่น ลองของผิดเวลาซะด้วย
ยังไงช่วงนี้มือใหม่ๆอย่างเราๆก็สู้ๆนะครับ
มันมีลง มันก็ต้องมีขึ้นครับ
คอยติดตามข่าวสาร วิเคราะห์กิจการให้ดี
เผลอๆหุ้นดีๆจะลงมาให้เก็บ สบายเลยครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)