วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

PRANDA ลงเละ รู้เหตุ แต่กล้าถัวมั้ย ?

เมื่อซัก 3-4 อาทิตย์ก่อน ผมซื้อหุ้น PRANDA มาครับ
หลังจากดู ratio ต่างๆแล้วว่ามันก็ไม่เลว(ก่อนงบออกนะครับ)
งบการเงินก็ดูดีใช้ได้ ที่สำคัญปันผลล่อใจ
อีกทั้งทำ scuttlebutt อย่างหย้าบหยาบมาแล้วด้วย
คือถามเพื่อนๆ ผญ. และแฟน แม่ ว่าเคยรู้จักร้าน พรีมา โกว มั้ย
เค้าก็ว่ารู้จักกัน มีแบรนด์ แถม PRANDA เองยังมีธุรกิจแบรนด์อื่นๆในต่างประเทศอีกครับ
เรียกว่าทั้งทำเอง ขายเอง กันเลยทีเดียว
และถ้าจำกันได้ช่วงนั้น มีเหตุการณ์ที่ราคาทองดิ่งลงเหวอย่างไม่คาดฝัน
ซึ่งจริงๆผมคิดว่าจะเป็นผลดีมากๆกับ PRANDA นะครับ
เพราะวัตถุดิบหลักอย่างนึงถูกลง แต่ไม่รู้ว่าราคาขายต้องขยับลงด้วยมั้ย
(ซึ่งผมเดาเอาเองว่า ต่อให้ลง ก็คงไม่ขยับลงเยอะเท่าราคาทองที่ลง)

ราคาหุ้นรายวันจากที่ซื้อก็ไม่ค่อยขยับมากนักครับ
unrealize เป็นบวกบ้างนิดๆหน่อยๆครับ
และแล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในวันที่ 15/5/56 ครับ
หรือที่หลายๆท่านทราบ มันคือ 45วัน หลังจบ Q1 หรือคือวันสุดท้ายของการประกาศงบนั่นเอง !!!
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หุ้น PRANDA เหมือนถูกทุบทิ้งกันตั้งแต่ ATO หรืออย่างไรไม่ทราบได้ครับ
เปิดตลาดตอน 10โมงปุ๊บ ลงฮวบ 15% ผมอึ้งครับ เพราะเมื่อคืนนั่งดูอยู่ว่ายังไม่มีงบของ PRANDA
ไม่รอช้าฮ่ะ รีบไปหามาดูว่างบออกรึยัง ปรากฎว่าออกแล้วจริงๆครับ
เอามาอ่านดูได้ความดังนี้


แต่ผมไม่ได้ดูแค่บทสรุปของ EPS นะฮะ
เราไปต่อกันที่รายละเอียดกันซักหน่อย

ผมอ่านได้ความว่า
ยอดขายยังโอเค ปีนี้ เพิ่มจาก 966 เป็น 971
แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมา 160m เป็นต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 100 และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 60
ซึ่งตรงนี้แหละครับ ที่ข่าวเค้าเอาไปเล่น ทุกข่าวพูดถึงการแข็งค่าของเงินบาทอย่างหนัก
ซึ่งทำให้เกิดการขาดทุนตรงนี้ จากปีก่อนกำไร 11 ปีนี้ขาดทุนถึง 62
ถ้าคิดแบบไปกลับเลยคือเงินหายไปถึง 73m นะครับ
แต่ผมไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะตรงนี้มันเป็นเงินที่ยังไม่ได้ขาดทุนจริงๆนะครับ
เป็นการเอาตัวเลขของบริษัทในต่างประเทศมาแปลงเป็นเงินไทย ณ ตอนนั้น ทำให้ขาดทุน
ที่ผมสนใจคือต้นทุนขายที่บานตะไทขึ้นมาจาก 593 เป็น 685 หรือ 90ล้าน
( Gross Profit Margin ลดลงจาก 38.6% เหลือ 29.5% )
ตรงนี้ ในการชี้แจงผลการดำเนินงานเค้าบอกว่าเกี่ยวกับการทำโปรโมชัน บวกกับ
มีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้ากล่มเครื่องประดับทองเพิ่มขึนครับ



ที่ราคาก้นเหวของวันนั้น ขณะที่ทุกคนเทขาย ผมกล้าถัว(นิดๆ) ที่ 8.2 ครับ
เพราะผมพอทราบว่าทำไมราคาลงหนักนัก และคิดเอาเองว่าคงเพราะ panic sell
แต่กิจการยังดำเนินไปได้ดี แค่บันทึกการขาดทุนจากค่าเงินที่มากขึ้น และมีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นเยอะหน่อย
แถมมีเหตุผลของต้นทุนที่เยอะขึ้นด้วย
แต่สำหรับผมถือว่าไม่เลวร้ายครับ ในราคานี้ผมยังอยากได้หุ้นเพิ่ม
วันต่อมาก็ยังลงต่อครับ ไปก้นเหวที่ 7.85 ผมตั้งถัวอีก(มากขึ้นหน่อย)ที่ 7.9 แต่เสียดายไม่ได้หุ้นครับ
สรุปรวมตอนนี้ทุนของผมอยู่ 9.02 แต่ราคาตลาดอยู่ที่ 8.55 (23/5/2013)
อาจยังลบเยอะอยู่ครับ เพราะวันนั้นตลาดแดงเทือก

ตอนนี้ ผมเห็นความสำคัญของการศึกษางบและอ่านคำชี้แจงต่างๆมากขึ้นแล้วครับ
ถ้าผมไม่ได้ความรู้ตรงนี้คงไม่กล้าถัว แถมอาจกลัวจนขายทิ้งด้วยซ้ำ...

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ขาย BANPU ขาดทุนและเรียนรู้ซะหน่อย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมขายหุ้นน้องปูจ๋าไปที่ราคาราวๆ 324-325 ครับ
นี่นับว่าสมควรคาระวะเลยนะครับ เพราะผมขายที่ประมาณ all time LOW !!!
ฮ่าๆๆ ฮาาา ฮือออออ  T__T

จากต้นทุนของผมประมาณ 410 รวมแล้วขาดทุน 1710 บาท
เพราะเงินต้นของผมไม่มาก เลยดูแล้วขาดทุนเล็กๆน้อยๆ
แต่จริงๆแล้วขาดทุนระดับ 20% เลยนะครับ
ถ้ารวมทั้งพอร์ตก็นับว่า ลบประมาณ 1.8% และค่าเสียโอกาสที่ถือมาราวๆ9เดือน(มั้ง)
ก็คิดซะว่าเป็นค่าครูไปว่าการเล่น commodity นั้นยาก ถ้าเราไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง



[ช่วงความรู้]
เอาละครับ งั้นเรามาดูความหมายของ commodity กันดีกว่าครับ
* ที่มา http://www.stock2morrow.com/entry.php?b=135

สินค้าคอมโมดิตี้ (commodity product) เป็นลักษณะของสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ที่ไม่มีความแตกต่างของสินค้า เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคจากธรรมชาติอย่างผักผลไม้ทั่วๆ ไป พริกไทย น้ำตาล น้ำปลา เกลือ น้ำดื่ม น้ำมันรถยนต์ ปูน ฯลฯ ตามหลักการทางทฤษฎีเราสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

1.กลุ่มโลหะและอัญมณี เช่น ทองคำ เพชร พลอย เหล็ก เงิน ทองแดง อลูมิเนียม นิกเกิล ฯลฯ
ไฟล์แนบ 64671

2. กลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ถั่วเหลือง น้ำตาล เนื้อสัตว์ ฯลฯ
ไฟล์แนบ 64672

3. กลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมต่างๆ
ไฟล์แนบ 64673


ขอเสริมหน่อยว่าราคากลุ่มนี้เป็นไปตาม demand supply
ไม่มีเบรนด์ ไม่มีคนกำหนดราคาได้ เว้นแต่จะผูกขาดจริงๆๆๆๆ ซึ่งยากมากกกก

ที่นี้ก็มาถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงตัดสินใจขายหุ้นน้องปูจ๋าไป
ถ้าเขียนอย่างหน้าไม่อายเลยคือ ผมยังยึดติดกับราคารายวันครับ
ผมเห็นราคา banpu ตกลงทุกวันๆๆ  ก็หาเหตุผลมาขายมันทิ้งครับ คือ..
ดูราคา coal ก็ไม่ไปไหนครับ
ยืนอยู่ที่เดิมๆ 80-85 ดอลล่าต่อตันมาราวๆ2ไตรมาสแล้ว
(ตรงนี้ข้อมูลอาจผิดพลาดได้นะครับ เพราะผมดูเอาเอง)
ทั้งๆที่ผมคิดอยู่ว่าราคามันคงไม่ลงไปกว่านี้หรอกมั้ง
เพราะผมได้อ่านข่าวมาว่า เหมืองแถบอินโดต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 80$ ต่อตัน
ดังนั้น ถ้าถ่านหินลงกว่านี้ เหมืองแถบนั้นต้องปิด demand ต้องลดลง
แต่ก็คิดไปๆมาๆอีกว่า ต่อให้เหมืองปิด ความต้องการถ่านหินก็อาจไม่เพิ่มขึ้น
เนื่องจากยังมีถ่านหินส่วนเกินอยู่ในตลาด และผู้นำเข้าถ่านหินรายใหญ่คือจีน
ผมก็ยังไม่เห็นข่าวว่าจะเจริญเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้นก็ไม่น่ามี demand เพิ่ม
ดู RSI ก็เหยียบ 20 ครับ จริงๆไม่น่าจะขาย แต่อารมณ์ก็ยังบอกว่าตัดใจขายๆทิ้งไปเถอะ !!

แต่ครับ แต่... ราคาบ้านปู เด้งจาก 323 ไปเป็น 330 ครับ  (ขึ้นประมาณช่วงงบ Q1 ออกครับ)
ผมก็งงครับ ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงรึเปล่า ราคาหุ้นถึงขึ้นได้
หรือเพราะงบไม่ห่วยเท่าความคาดหมาย บลาๆ ผมก็คิดมั่วๆไปเรื่อย
แน่นอนว่าผมยังอ่อนหัดมากกกกกก
เพราะยังดูราคาหุ้น และยังโดนราคาหุ้นหลอก
ผมตระหนักได้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะ เราไม่รู้พื้นฐานของบริษัทจริงๆ
ถ้าครั้งหน้าจะเข้าหุ้นตัวไหน ต้องศึกษากว่านี้ให้มากๆๆๆ ครับ

** เตือนตัวเอง
ตอนซื้อตั้งใจถือยาววว บริษัทคงโอเคแหละ
ถ่านหินมันจะลงได้แค่ 80$ แหละมั้ง พ้น Q1 หรือ Q2  2013 ก็โอเคแล้ว
ไม่เป็นไรหรอก บริษัทใหญ่ ไม่เจ๊ง เดี๋ยว coal ขึ้น  ปูจ๋าก็ขึ้น...
สุดท้ายทนไม่ไหว ขายทิ้ง ทั้งๆที่ถือไม่ทันถึงปี
และมีคำว่า คง มั้ง คิดว่า เต็มไปหมด  ถ้าจะซื้อต้องศึกษาให้มากกว่านี้นะเออ !!

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โฟสแรกของ TaTae - Investment

บล็อคนี้ทำขึ้นเพื่อจัดเก็บข้อมูลการลงทุนของผม
เริ่มในวันที่ 13/5/2556 หรือหลังจากเปิดพอร์ตมาประมาณ1ปี